แชร์

อาการออฟฟิศซินโดรม จะทำอย่างไรเมื่อร่างกายบอกให้คุณหยุด

อัพเดทล่าสุด: 30 พ.ค. 2025

          ผู้คนจำนวนมากต้องใช้ชีวิตอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ จนเกิดเป็นอาการ ออฟฟิศซินโดรม หรือกลุ่มอาการที่เกิดจากการทำงานในออฟฟิศ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดไหล่ ปวดข้อมือ ปวดตา และอาการเครียด ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก หลายคนอาจคิดว่าอาการเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ ที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนที่ต้องทำงานหน้าจอนานๆ แต่จริงๆแล้ว มันคือสัญญาณเตือนจากร่างกายว่า คุณกำลังทำร้ายสุขภาพของตัวเอง และถ้าปล่อยไว้นานเข้า อาการเหล่านี้อาจกลายเป็นปัญหาสุขภาพเรื้อรังที่รักษาได้ยากก็เป็นได้ บทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจกับอาการออฟฟิศซินโดรม ว่ามันคืออะไร มีสาเหตุมาจากอะไร และจะป้องกันรักษาได้อย่างไร

 


อาการออฟฟิศซินโดรม คืออะไร? เป็นอย่างไร

ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) คือ กลุ่มอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด ที่มักเกิดขึ้นกับกลุ่มคนวัยทำงาน สาเหตุหลักมาจากการทำงานที่ต้องใช้กล้ามเนื้อมัดเดิมซ้ำๆ เป็นเวลานาน หรืออยู่ในท่าทางการทำงานที่ไม่เหมาะสมต่อเนื่องกันหลายชั่วโมง พฤติกรรมเหล่านี้ส่งผลให้กล้ามเนื้อเกิดการอักเสบ ตึงเครียด และมีอาการปวดเมื่อยตามมา หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการดูแลรักษา อาการอาจรุนแรงขึ้นและกลายเป็นอาการปวดเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ อาการที่บ่งชี้ว่าเป็นออฟฟิศซินโดรมนั้นมีความหลากหลาย แต่โดยส่วนใหญ่มักเกี่ยวข้องกับระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ รวมถึงระบบประสาทและดวงตา อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่

  • อาการปวดกล้ามเนื้อ : เป็นอาการเด่นชัดที่สุด มักปวดบริเวณคอ บ่า ไหล่ สะบัก หลัง หรือสะโพก ลักษณะการปวดอาจเป็นแบบตื้อๆ ปวดเมื่อย ปวดล้า หรือปวดร้าวไปยังบริเวณอื่น ในบางครั้งอาจไม่สามารถระบุตำแหน่งที่ปวดได้ชัดเจนเนื่องจากรู้สึกปวดเป็นบริเวณกว้าง

  • อาการทางระบบประสาท : อาจมีอาการชา อ่อนแรง หรือเหน็บชาบริเวณแขน ขา หรือมือ อาการเหล่านี้เกิดจากการที่เส้นประสาทถูกกดทับเป็นเวลานานจากการนั่งหรือทำงานในท่าเดิมๆ บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะเรื้อรัง หรือปวดไมเกรน ซึ่งอาจเกิดจากความเครียด การใช้สายตามากเกินไป หรือความตึงตัวของกล้ามเนื้อคอและบ่าที่ส่งผลต่อการไหลเวียนเลือด

  • อาการทางตา : การจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน อาจทำให้เกิดอาการปวดตา ตาแห้ง ตาพร่ามัว หรือตาล้าได้

  • อาการเฉพาะที่ : อาจพบอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น นิ้วล็อก, เอ็นกล้ามเนื้ออักเสบ, หรือมีพังผืดกดทับเส้นประสาทที่ข้อมือ

 


กลุ่มเสี่ยงต่อการเป็นออฟฟิศซินโดรม

แม้ชื่อจะบ่งบอกว่าเกี่ยวข้องกับพนักงานออฟฟิศ แต่จริงๆ แล้วกลุ่มอาการนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่มีพฤติกรรมการทำงานในลักษณะดังกล่าว ไม่ว่าจะ ผู้ที่ต้องนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานหลายชั่วโมงต่อวัน โดยไม่มีการขยับปรับเปลี่ยนอิริยาบถ ผู้ที่ทำงานในท่าทางซ้ำๆ หรืออยู่ในท่าเดิมนานๆ เช่น พนักงานขับรถ พนักงานขายที่ต้องยืนนานๆ (โดยเฉพาะผู้ที่ใส่ส้นสูง) ทันตแพทย์ ช่างเสริมสวย รวมถึงผู้ที่ใช้สมาร์ทโฟนเป็นเวลานานในท่าก้มหน้า หรือผู้ที่ใช้ต๊ะหรือเก้าอี้ทำงานมีความสูงไม่พอดีกับสรีระ ทำให้ต้องนั่งในท่าที่ไม่ถูกต้อง เดิมทีกลุ่มอาการนี้มักพบในวัยทำงานช่วงอายุ 30-40 ปี แต่ปัจจุบันพบได้ในกลุ่มอายุน้อยลง เช่น นักเรียน นักศึกษา รวมถึงผู้สูงอายุ เนื่องจากการใช้คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีในชีวิตประจำวันมีมากขึ้น และกล้ามเนื้อขาดความยืดหยุ่นและความแข็งแรง ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บได้ง่าย

อาการออฟฟิศซินโดรม ต่างกับ WMSDs อย่างไร

หลายคนอาจสงสัยว่าอาการออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome) และ โรคระบบกล้ามเนื้อและกระดูกที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน (Work-Related Musculoskeletal Disorders หรือ WMSDs) แตกต่างกันอย่างไร จริงๆ แล้ว ออฟฟิศซินโดรมถือเป็นกลุ่มอาการหนึ่งที่จัดอยู่ในประเภทของ WMSDs แต่มีความเฉพาะเจาะจงมากกว่า


WMSDs (Work-Related Musculoskeletal Disorders)

เป็นคำที่ใช้เรียกกลุ่มอาการความผิดปกติหรือการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นกับระบบกล้ามเนื้อ, เส้นเอ็น, เส้นประสาท, ข้อต่อ และกระดูก อันเนื่องมาจากการทำงาน สาเหตุหลักมักมาจากปัจจัยเสี่ยงทางการยศาสตร์ (Ergonomics) ในการทำงาน เช่น การทำงานในท่าทางที่ไม่เหมาะสม, การทำงานซ้ำๆ เป็นเวลานาน, การออกแรงมากเกินไป หรือการอยู่ในท่าเดิมนานๆ โดยไม่มีการปรับเปลี่ยนอิริยาบถ WMSDs เป็นปัญหาที่พบได้ในหลากหลายอาชีพทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นพนักงานในโรงงาน, ผู้ใช้แรงงาน, นักกีฬา หรืออาชีพอื่นๆ ที่มีการเคลื่อนไหวหรือท่าทางที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บ


ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome)

ในทางกลับกัน ออฟฟิศซินโดรมเป็นกลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด ที่เกิดขึ้นเฉพาะเจาะจงกับผู้ที่ทำงานในสภาพแวดล้อมแบบสำนักงานเป็นหลัก สาเหตุสำคัญมาจากการนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานหลายชั่วโมงติดต่อกัน, การอยู่ในท่าทางที่ไม่เหมาะสม เช่น นั่งหลังค่อม ก้มหน้า จ้องจอใกล้ๆ หรือใช้เมาส์และคีย์บอร์ดต่อเนื่องโดยไม่หยุดพัก แม้ว่าในทางการแพทย์อาจจัดเป็น WMSDs หรือการบาดเจ็บจากการใช้งานซ้ำๆ 

 

สัญญาณเตือนภัยอาการออฟฟิศซินโดรม

อาการออฟฟิศซินโดรมไม่ได้เกิดขึ้นทันทีทันใด แต่มักค่อยๆ แสดงออกมาผ่านสัญญาณเตือนต่างๆ ที่ร่างกายส่งมา การสังเกตและใส่ใจต่อสัญญาณเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถป้องกันหรือจัดการกับปัญหาได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ก่อนที่อาการจะลุกลามจนกลายเป็นปัญหาสุขภาพเรื้อรัง สัญญาณเตือนภัยเหล่านี้มักเกิดจากพฤติกรรมและสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ไม่เหมาะสม

การใช้กล้ามเนื้อซ้ำๆ

การใช้กล้ามเนื้อมัดเดิมซ้ำๆ เป็นเวลานาน เช่น การพิมพ์คีย์บอร์ดหรือใช้เมาส์ต่อเนื่องหลายชั่วโมง สามารถทำให้เกิดการอักเสบของกล้ามเนื้อและเอ็น โดยเฉพาะบริเวณข้อมือและนิ้วมือ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะเอ็นอักเสบ หรือกลุ่มอาการโรคเส้นประสาทข้อมือถูกกดทับ สัญญาณเตือนที่พบได้ คือ อาการปวดหรือรู้สึกเมื่อยล้าบริเวณข้อมือ นิ้ว หรือแขน โดยเฉพาะหลังจากใช้งานต่อเนื่องเป็นเวลานาน


การนั่งหรือยืนเป็นเวลานาน

การนั่งหรือยืนในท่าเดียวเป็นเวลานาน โดยเฉพาะการนั่งเกิน 8 ชั่วโมงต่อวันโดยไม่มีการเคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนอิริยาบถ จะส่งผลให้เกิดการเกร็งของกล้ามเนื้อ การไหลเวียนเลือดไม่ดี และแรงกดทับต่อกระดูกสันหลัง ในระยะยาว อาจนำไปสู่ปัญหาหมอนรองกระดูกเสื่อม หรือหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท สัญญาณเตือนที่ควรสังเกต ได้แก่ อาการปวดหลังส่วนล่าง รู้สึกชาหรือเหน็บตามขา เมื่อยล้าบริเวณสะโพกและต้นขา หรือรู้สึกว่าต้องขยับตัวบ่อยๆ เพื่อลดอาการไม่สบาย

ท่าทางการทำงานที่ไม่เหมาะสม

การทำงานในท่าทางที่ไม่ถูกต้องตามหลักการยศาสตร์ เช่น การนั่งหลังค่อม ก้มคอมากเกินไป หรือใช้อุปกรณ์ที่ไม่เหมาะสมกับสรีระร่างกาย จะทำให้เกิดแรงกดทับต่อกระดูกสันหลังและกล้ามเนื้อในแนวที่ผิดธรรมชาติ สัญญาณเตือนที่พบได้บ่อย คือ อาการปวดคอ บ่า ไหล่ หรือสะบัก รวมถึงอาการปวดศีรษะที่มาจากความตึงของกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอ ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะรุนแรงขึ้นในช่วงเย็นหลังเลิกงาน

การออกแรงมากเกินไป

การใช้แรงมากเกินไปในการทำงาน เช่น การยกของหนัก หรือใช้ข้อมือและไหล่ออกแรงซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อและเอ็น ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของอาการปวดเรื้อรัง สัญญาณเตือนที่ควรระวัง ได้แก่ อาการปวดเฉียบพลัน รู้สึกแสบร้อนในกล้ามเนื้อ หรือมีอาการอ่อนแรงบริเวณที่ใช้งานมากเกินไป โดยอาการมักจะเกิดขึ้นทันทีหรือหลังจากการใช้งานไม่นาน

สิ่งแวดล้อมในการทำงาน

สภาพแวดล้อมในการทำงานที่ไม่เหมาะสม เช่น แสงสว่างไม่เพียงพอทำให้ต้องเพ่งสายตา โต๊ะหรือเก้าอี้ที่มีความสูงไม่พอดีกับสรีระ หรืออุณหภูมิที่ร้อนหรือเย็นเกินไปจนทำให้รู้สึกไม่สบายตัว ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดอาการออฟฟิศซินโดรมได้ง่ายขึ้น สัญญาณเตือนที่พบได้ คือ อาการปวดตา ตาแห้ง ตาล้า ปวดศีรษะ รู้สึกอึดอัดหรือไม่สบายตัวขณะทำงาน ซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานและคุณภาพชีวิตในระยะยาว

ปัจจัยด้านสุขภาพ

ปัจจัยส่วนบุคคลด้านสุขภาพ เช่น ความเครียดสะสม การพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือพฤติกรรมเสี่ยงอย่างการสูบบุหรี่ ล้วนเป็นตัวเร่งให้เกิดอาการออฟฟิศซินโดรมได้รวดเร็วและรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะความเครียดที่ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวต่อเนื่องเป็นเวลานาน สัญญาณเตือนที่ควรใส่ใจ ได้แก่ อาการนอนไม่หลับ ปวดศีรษะบ่อยครั้ง หงุดหงิดง่าย หรือรู้สึกเหนื่อยล้าแม้จะพักผ่อนเพียงพอแล้ว ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่าร่างกายและจิตใจกำลังได้รับผลกระทบจากการทำงานมากเกินไป

อายุและเพศ

ปัจจัยทางด้านอายุและเพศก็มีส่วนสำคัญในการเกิดอาการออฟฟิศซินโดรม โดยพบว่าผู้หญิงมีแนวโน้มเป็นมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากความแตกต่างด้านสรีระและมวลกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ เมื่ออายุมากขึ้น ความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและเอ็นจะลดลง ทำให้เสี่ยงต่อการบาดเจ็บได้ง่ายขึ้น สัญญาณเตือนที่อาจพบได้ คือ อาการปวดเมื่อยที่เกิดขึ้นเร็วกว่าปกติ หรือใช้เวลาในการฟื้นฟูนานขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรใส่ใจเป็นพิเศษในกลุ่มผู้หญิงและผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป

 

แนวทางป้องกันและบรรเทาอาการออฟฟิศซินโดรม

1. ปรับสภาพแวดล้อมการทำงานให้เหมาะสม (Ergonomics)

การจัดสภาพแวดล้อมในการทำงานให้ถูกต้องตามหลักการยศาสตร์ (Ergonomics) เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการลดความเสี่ยงและบรรเทาอาการออฟฟิศซินโดรม ควรปรับระดับความสูงของโต๊ะและเก้าอี้ให้เหมาะสมกับสรีระ เก้าอี้ควรปรับระดับได้และมีพนักพิงที่รองรับหลังส่วนล่าง ควรนั่งให้หลังตรง ชิดพนักพิง ไม่นั่งหลังค่อม ไหล่ห่อ หรือไขว่ห้าง หน้าจอคอมพิวเตอร์ควรอยู่ในระดับสายตาพอดี ไม่ต้องก้มหรือเงยหน้ามอง อาจใช้อุปกรณ์เสริม เช่น ที่รองข้อมือเพื่อลดแรงกด หรือที่พักเท้าเพื่อให้วางเท้าได้สบาย สภาพแวดล้อมในห้องทำงานควรมีแสงสว่างเพียงพอ อากาศถ่ายเทสะดวก และไม่ควรมีแสงสะท้อนบนหน้าจอคอมพิวเตอร์

2. การยืดเหยียดกล้ามเนื้อและออกกำลังกายสม่ำเสมอ

การอยู่ในท่าเดิมนานๆ ทำให้กล้ามเนื้อล้าและตึงเครียด ควรลุกขึ้นเปลี่ยนอิริยาบถ ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ หรือเดินผ่อนคลายเป็นระยะ อย่างน้อยทุกๆ 1 ชั่วโมง การบริหารกล้ามเนื้อง่ายๆ ระหว่างวัน เช่น หมุนคอ ยืดไหล่ ยืดหลัง จะช่วยคลายความตึงตัวได้ นอกจากนี้ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อเพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นให้กับกล้ามเนื้อ การออกกำลังกายที่แนะนำ เช่น โยคะ ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน หรือการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโออื่นๆ จะช่วยลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ ป้องกันข้อยึดติด และช่วยผ่อนคลายความเครียดได้ดี

3. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง

นอกจากการปรับท่าทางและสภาพแวดล้อมแล้ว การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอื่นๆ ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ควรหลีกเลี่ยงการนั่งทำงานในท่าเดิมต่อเนื่องเป็นเวลานานเกินไป ควรหาเวลาพักผ่อนให้เพียงพอ และจัดการกับความเครียดอย่างเหมาะสม เนื่องจากความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอสามารถส่งผลให้กล้ามเนื้อตึงตัวและเกิดอาการปวดได้ง่ายขึ้น

4. การรักษาทางการแพทย์และกายภาพบำบัด (เมื่อมีอาการ)

  • การรักษาด้วยยา : แพทย์อาจพิจารณาให้ยาแก้ปวด ยาคลายกล้ามเนื้อ หรือยาต้านการอักเสบ เพื่อบรรเทาอาการ ควรใช้ยาภายใต้คำแนะนำของแพทย์เท่านั้น

  • กายภาพบำบัด : เป็นการรักษาที่สำคัญเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกาย นักกายภาพบำบัดอาจใช้เทคนิคต่างๆ เช่น การนวดกดจุดคลายกล้ามเนื้อ, การยืดกล้ามเนื้อ, การออกกำลังกายเฉพาะส่วนเพื่อเพิ่มความแข็งแรง, การประคบร้อน, หรือการใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัด เช่น คลื่นอัลตราซาวด์ เพื่อลดปวดและอักเสบลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อ, เลเซอร์, การกระตุ้นด้วยไฟฟ้า, คลื่นกระแทก, หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

  • การรักษาทางเลือก : บางรายอาจเลือกใช้วิธีการรักษาทางเลือก เช่น การฝังเข็ม หรือการนวดแผนไทย เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดและคลายกล้ามเนื้อ

  • การฉีดยา : ในกรณีที่มีการอักเสบรุนแรง แพทย์อาจพิจารณาฉีดยาสเตียรอยด์เพื่อลดการอักเสบเฉพาะที่

  • การใช้คลื่นวิทยุ : สำหรับผู้ที่มีอาการปวดเรื้อรังรุนแรง อาจมีการใช้วิธีการ เช่น การใช้คลื่นวิทยุจี้เส้นประสาท (Radiofrequency Ablation) เพื่อลดอาการปวด

 

 

ท้ายบทความ

การดูแลสุขภาพเริ่มได้จากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทำงานง่ายๆ เช่น การพักเป็นระยะ การปรับท่าทางการทำงานให้ถูกต้องตามหลักการยศาสตร์ และการจัดสภาพแวดล้อมการทำงานให้เหมาะสม ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และการดูแลสุขภาพองค์รวม ทั้งด้านการพักผ่อน โภชนาการ และการจัดการความเครียด อย่ารอให้ร่างกายส่งสัญญาณเตือนรุนแรงก่อนเริ่มดูแลตัวเอง การเอาใจใส่สุขภาพตั้งแต่วันนี้ จะช่วยให้คุณมีคุณภาพชีวิตที่ดีและสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว โดยปราศจากความทุกข์ทรมานจากอาการเจ็บปวดที่สามารถป้องกันได้


บทความที่เกี่ยวข้อง
Pelvic Endometriosis, ปวดท้องเม้นท์, ปวดประจำเดือน, ปวดท้อง, เซเปี้ยนซ์, นาตยา
โรคนี้เกิดจากการที่เนื้อเยื่อคล้ายเยื่อบุโพรงมดลูก (endometrial-like tissue) เจริญเติบโตอยู่นอกโพรงมดลูก เช่น บริเวณรังไข่ ท่อนำไข่ พังผืดในอุ้งเชิงกราน หรือแม้กระทั่งที่ผนังลำไส้หรือกระเพาะปัสสาวะ
31 ส.ค. 2025
ปวดท้องน้อย, ปวดประจำเดือน, หมอนาตยา
อาการปวดท้องน้อยจากการมีประจำเดือน Primary Dysmenorrhea เกิดจากการสร้างสาร prostaglandin มากกว่าปกติ ส่งผลให้กล้ามเนื้อมดลูกหดรัดตัวรุนแรง เกิดอาการปวดเกร็ง ถ่ายเหลว หรือคลื่นไส้
21 ส.ค. 2025
เทนนิส, กีฬา, เซเปี้ยนซ์
โรงพยาบาลเซเปี้ยนซ์ ในฐานะผู้นำด้านเวชศาสตร์การกีฬาและการระงับปวดเฉพาะทาง มองเห็นว่า การรักษาที่ดี ต้องเริ่มจากความเข้าใจ biomechanic และ pain pathway ที่ถูกต้อง
4 ส.ค. 2025
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy