แชร์

ซีสต์และอาการปวดหลังช่วงเป็นประจำเดือน: สาเหตุและการจัดการ

อัพเดทล่าสุด: 8 เม.ย. 2025

        อาการปวดหลังช่วงมีประจำเดือนเป็นประสบการณ์ที่คุณผู้หญิงหลายคนเผชิญ แต่หากอาการปวดรุนแรงผิดปกติหรือเกิดขึ้นซ้ำๆ อาจเป็นสัญญาณของ ซีสต์ในรังไข่ ซึ่งเป็นภาวะถุงน้ำที่เกิดในรังไข่และพบได้บ่อยในวัยเจริญพันธุ์ ซีสต์เหล่านี้สามารถกดทับอวัยวะและเส้นประสาทในช่องท้อง ทำให้เกิดอาการปวดหลังส่วนล่างโดยเฉพาะในช่วงมีประจำเดือนที่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน การเข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างซีสต์กับอาการปวดหลัง รวมถึงวิธีสังเกตอาการและแนวทางการรักษาที่เหมาะสม จะช่วยให้คุณจัดการกับภาวะนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น บทความวันนี้จึงพาทุกคนไปทำความรู้จักกับซีสต์ และอาการปวดหลังช่วงเป็นประจำเดือนจากซีสต์ให้ดียิ่งขึ้น

 


ซีสต์ในรังไข่คืออะไร

ซีสต์รังไข่ (Ovarian Cyst) คือ ถุงน้ำหรือกระเปาะที่เกิดบริเวณรังไข่ของสตรีวัยเจริญพันธุ์ โดยส่วนใหญ่เกิดจากกระบวนการทำงานตามธรรมชาติของรังไข่ในช่วงมีประจำเดือน ถุงน้ำนี้อาจมีขนาดเล็กหรือใหญ่ และมีลักษณะเป็นถุงที่บรรจุของเหลว อากาศ หรือเนื้อเยื่อบางชนิด ถุงน้ำเหล่านี้มักไม่ก่อให้เกิดอาการรุนแรง และสามารถหายไปได้เองภายใน 2-3 รอบเดือน แต่หากซีสต์มีขนาดใหญ่หรือมีลักษณะผิดปกติ อาจส่งผลให้เกิดอาการปวดหน่วงที่ท้องน้อยหรือหลังส่วนล่าง โดยเฉพาะในช่วงมีประจำเดือน รวมถึงอาจกดทับอวัยวะใกล้เคียงจนรบกวนชีวิตประจำวันได้


ประเภทของซีสต์รังไข่

  • ซีสต์ปกติ : เกิดจากกระบวนการตกไข่ เช่น ซีสต์ฟอลลิคูลาร์ (Follicular Cyst) และซีสต์คอร์ปัสลูเทียม (Corpus Luteum Cyst) มักยุบหายได้เอง

  • ซีสต์ผิดปกติ : เช่น ซีสต์เดอร์มอยด์ (Dermoid Cyst) หรือช็อกโกแลตซีสต์ (Endometrioma) ซึ่งอาจต้องได้รับการรักษาเฉพาะทาง


สาเหตุของซีสต์รังไข่

ซีสต์รังไข่เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในสตรีวัยเจริญพันธุ์ สาเหตุของการเกิดซีสต์รังไข่มีหลายประการ รวมถึงกระบวนการทางธรรมชาติของร่างกายและความผิดปกติทางสุขภาพ แต่ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่มีถุงน้ำเจริญขึ้นภายในหรือบนรังไข่ เกิดจากการสะสมของถุงน้ำหรือเนื้อเยื่อในรังไข่ ซึ่งส่งผลต่อลักษณะอาการ การรักษา และความรุนแรงที่แตกต่างกัน

1. ถุงน้ำจากการทำงานของรังไข่ (Functional Cyst)

เป็นซีสต์ที่เกิดจากกระบวนการตกไข่ตามธรรมชาติของรังไข่ โดยรังไข่จะสร้างถุงน้ำเพื่อห่อหุ้มเซลล์ไข่ก่อนปล่อยออกมาเมื่อถึงช่วงตกไข่ โดยทั่วไปถุงน้ำชนิดนี้มักยุบตัวหายไปได้เองภายใน 2-3 สัปดาห์ หรือหลังมีประจำเดือนครั้งถัดไป จึงจัดเป็นซีสต์ชนิดไม่ร้ายแรงและมักไม่ก่อให้เกิดอาการผิดปกติรุนแรง

2. ช็อกโกแลตซีสต์ (Chocolate Cyst)

เกิดจากภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) ซึ่งเนื้อเยื่อนี้จะไปเจริญนอกโพรงมดลูกและยังคงมีเลือดออกตามรอบประจำเดือน ส่งผลให้เลือดคั่งสะสมในถุงน้ำจนกลายเป็นสีน้ำตาลคล้ายช็อกโกแลต ซีสต์ชนิดนี้มักก่อให้เกิดอาการปวดท้องน้อยเรื้อรัง โดยเฉพาะในช่วงมีประจำเดือนหรือมีเพศสัมพันธ์ และอาจส่งผลต่อภาวะเจริญพันธุ์ได้หากไม่ได้รับการรักษา

3. เนื้องอกถุงน้ำรังไข่

เนื้องอกถุงน้ำรังไข่แบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ ชนิดไม่ร้ายแรง เช่น ถุงน้ำเดอร์มอยด์ (Dermoid Cyst) ที่มีส่วนประกอบของเนื้อเยื่อร่างกาย เช่น ผม ไขมัน และ ชนิดที่อาจพัฒนาเป็นมะเร็งรังไข่ ได้ เช่น ถุงน้ำซีรอส (Serous Cystadenoma) ซึ่งจำเป็นต้องตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม เช่น อัลตราซาวนด์ หรือการตรวจชิ้นเนื้อ เพื่อประเมินความเสี่ยงและวางแผนการรักษาอย่างเหมาะสม


สาเหตุที่ซีสต์ในรังไข่ถึงทำให้ปวดหลังช่วงมีประจำเดือน

1. การกดทับอวัยวะหรือเส้นประสาทใกล้เคียง

ซีสต์ขนาดใหญ่หรือมีจำนวนมากอาจกดทับอวัยวะในอุ้งเชิงกราน เช่น กระเพาะปัสสาวะ ลำไส้ รวมถึงเส้นประสาทบริเวณหลังส่วนล่าง การกดทับนี้ทำให้เกิดอาการปวดหน่วง ๆ ที่ท้องน้อย และอาจปวดร้าวไปยังหลังส่วนล่างได้ โดยเฉพาะช่วงมีประจำเดือนที่มดลูกบีบตัวมากขึ้น

2. การอักเสบหรือภาวะซีสต์บิดตัว

หากซีสต์เกิดการบิดตัว (Ovarian Torsion) หรือแตก จะกระตุ้นการอักเสบเฉียบพลันในช่องท้อง ส่งผลให้ปวดท้องรุนแรงและปวดหลังร่วมด้วย ผู้ป่วยมักมีอาการอื่นร่วม เช่น ไข้ คลื่นไส้ เวียนศีรษะ ซึ่งจำเป็นต้องพบแพทย์ทันที

3. ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis)

ซีสต์บางชนิด เช่น ช็อกโกแลตซีสต์ (เกิดจากเลือดประจำเดือนสะสม) มักสัมพันธ์กับภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ เยื่อบุเหล่านี้จะระคายเคืองและอักเสบในช่วงมีประจำเดือน ทำให้ปวดท้องน้อยร้าวไปหลังส่วนล่าง และมีอาการอื่น เช่น ท้องอืด แน่นท้อง

4. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

ในช่วงมีประจำเดือน ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนเปลี่ยนแปลง อาจกระตุ้นให้ซีสต์ขยายขนาดหรือสร้างการอักเสบเพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึกปวดท้องและปวดหลังชัดเจนขึ้นกว่าปกติ

วิธีจัดการและรักษาอาการปวดหลังจากซีสต์

การวินิจฉัยที่ถูกต้องเป็นขั้นตอนแรกและสำคัญที่สุดในการรักษาอาการปวดหลังจากซีสต์ แพทย์จะทำการซักประวัติผู้ป่วยอย่างละเอียด ตรวจร่างกาย และอาจส่งตรวจเพิ่มเติมด้วยการถ่ายภาพทางการแพทย์ เช่น เอกซเรย์ อัลตราซาวนด์ การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) หรือการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) เพื่อยืนยันตำแหน่ง ขนาด และลักษณะของซีสต์ การวินิจฉัยที่แม่นยำจะช่วยให้แพทย์สามารถวางแผนการรักษาที่เหมาะสมได้ โดยเมื่อผ่านการวินิจฉัยแล้ว ถ้าหากต้องเข้ารับการรักษาจะสามารถแบ่งวิธีการรักษาเป็น 2 กรณีได้แก่

  • การรักษาด้วยยา : การรักษาด้วยยาเป็นทางเลือกแรกสำหรับการบรรเทาอาการปวดหลังจากซีสต์ ยาที่มักใช้ ได้แก่ ยาแก้ปวดประเภทที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ช่วยลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวด ยาคลายกล้ามเนื้อ ช่วยลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อที่อาจเกิดขึ้นจากการปวดเรื้อรัง ยาแก้ปวดที่มีฤทธิ์แรงกว่า อาจใช้ในกรณีที่อาการปวดรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อยาแก้ปวดทั่วไป (ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น)
  • การรักษาด้วยการผ่าตัด : ในกรณีที่ซีสต์มีขนาดใหญ่ กดทับเส้นประสาท หรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีอื่น แพทย์อาจพิจารณาการผ่าตัดเพื่อนำซีสต์ออก


วิธีสังเกตอาการว่าเรามีซีสต์ในรังไข่หรือไม่

ซีสต์ในรังไข่เป็นภาวะที่โดยส่วนใหญ่แล้ว มักไม่แสดงอาการชัดเจนและสามารถหายได้เอง แต่ในกรณีที่ซีสต์มีขนาดใหญ่ เกิดการแตก หรือบิดขั้ว อาจทำให้เกิดอาการที่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน หรือมีความเสี่ยงต่อสุขภาพได้ แต่บางครั้งอาจส่งสัญญาณผิดปกติที่ควรเฝ้าระวัง การสังเกตอาการเบื้องต้นช่วยให้พบแพทย์เพื่อตรวจวินิจจัยและรักษาได้ทันเวลา ลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

  • ปวดบริเวณท้องน้อยหรือหลังส่วนล่าง : อาการปวดอาจเกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ หรือปวดแบบต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงมีประจำเดือน หรือปวดร้าวไปยังหลังส่วนล่างและต้นขา ซึ่งเป็นหนึ่งในอาการที่พบได้บ่อยในผู้ที่มีซีสต์ในรังไข่

  • ประจำเดือนผิดปกติ : ซีสต์ในรังไข่อาจส่งผลต่อรอบเดือน เช่น ประจำเดือนมามากผิดปกติ มาไม่สม่ำเสมอ หรือมีเลือดออกกระปริดกระปรอยระหว่างรอบเดือน

  • ท้องอืดหรือรู้สึกแน่นบริเวณท้องส่วนล่าง : ผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึกว่าท้องบวม แน่น หรือมีแรงกดดันบริเวณท้องส่วนล่าง ซึ่งอาจเกิดจากซีสต์ที่โตขึ้นจนไปเบียดอวัยวะภายใน

  • ปัสสาวะบ่อยหรือถ่ายลำบาก : หากซีสต์มีขนาดใหญ่ อาจกดทับกระเพาะปัสสาวะหรือลำไส้ ทำให้รู้สึกปวดปัสสาวะบ่อยขึ้น ถ่ายลำบาก หรือมีอาการท้องผูกเรื้อรัง

  • เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ : ซีสต์บางชนิด เช่น ซีสต์จากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ อาจทำให้เกิดความเจ็บปวดระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะเมื่อเกิดแรงกดในบริเวณที่มีซีสต์


อาการอย่างไรที่เราควรพบแพทย์

  • อาการปวดหลังหรือปวดท้องน้อยที่รุนแรงและไม่หายไป
  • มีเลือดออกผิดปกติระหว่างรอบเดือน
  • คลำพบก้อนบริเวณท้องน้อย
  • มีไข้ คลื่นไส้ หรือเวียนศีรษะร่วมกับอาการปวดเฉียบพลัน
  • อาการปวดหลังรุนแรงและเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน
  • อาการปวดที่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน
  • มีไข้ร่วมกับอาการปวดหลัง
  • มีอาการปวดเมื่อปัสสาวะหรือมีเพศสัมพันธ์


สรุป

แม้ว่าการป้องกันการเกิดซีสต์ในรังไข่จะไม่สามารถทำได้ทั้งหมด แต่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและดูแลสุขภาพอย่างเหมาะสมสามารถลดความเสี่ยงและส่งเสริมสุขภาพโดยรวมได้ โดยก่อนไปวันนี้ เรามีข้อแนะนำสุดท้าย 5 ข้อ

  1. ตรวจสุขภาพเป็นประจำ
  2. สังเกตความผิดปกติของร่างกาย
  3. รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง
  4. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  5. จัดการความเครียดให้ดี

บทความที่เกี่ยวข้อง
Pelvic Endometriosis, ปวดท้องเม้นท์, ปวดประจำเดือน, ปวดท้อง, เซเปี้ยนซ์, นาตยา
โรคนี้เกิดจากการที่เนื้อเยื่อคล้ายเยื่อบุโพรงมดลูก (endometrial-like tissue) เจริญเติบโตอยู่นอกโพรงมดลูก เช่น บริเวณรังไข่ ท่อนำไข่ พังผืดในอุ้งเชิงกราน หรือแม้กระทั่งที่ผนังลำไส้หรือกระเพาะปัสสาวะ
31 ส.ค. 2025
ปวดท้องน้อย, ปวดประจำเดือน, หมอนาตยา
อาการปวดท้องน้อยจากการมีประจำเดือน Primary Dysmenorrhea เกิดจากการสร้างสาร prostaglandin มากกว่าปกติ ส่งผลให้กล้ามเนื้อมดลูกหดรัดตัวรุนแรง เกิดอาการปวดเกร็ง ถ่ายเหลว หรือคลื่นไส้
21 ส.ค. 2025
เทนนิส, กีฬา, เซเปี้ยนซ์
โรงพยาบาลเซเปี้ยนซ์ ในฐานะผู้นำด้านเวชศาสตร์การกีฬาและการระงับปวดเฉพาะทาง มองเห็นว่า การรักษาที่ดี ต้องเริ่มจากความเข้าใจ biomechanic และ pain pathway ที่ถูกต้อง
4 ส.ค. 2025
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy