แชร์

ปวดเข่า รักษาอย่างไร? บรรเทาอาการปวดและฟื้นฟูข้อเข่าเสื่อม?

อัพเดทล่าสุด: 27 พ.ค. 2025

หัวเข่าจึงเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้มนุษย์สามารถดำรงชีวิตได้อย่างคล่องตัว หากเรามีหัวเข่าที่ดี คุณภาพชีวิตเราก็จะดียิ่งขึ้น หัวเข่ามีบทบาทสำคัญในด้านการเคลื่อนไหว การทรงตัว และการรองรับน้ำหนักของร่างกาย เพื่อให้เราทำกิจกรรมพื้นฐานต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้ไม่ว่าจะการเดิน การวิ่ง การนั่ง และการยืน หากหัวเข่าอ่อนแอหรือได้รับบาดเจ็บ ก็จะทำให้เราทำกิจกรรมพื้นฐานเหล่านี้ลำบากมากยิ่งขึ้น ดังนั้นอย่าปล่อยให้อาการปวดเข่าทำลายชีวิตคุณ เพราะเนื้อหาวันนี้จะพาคุณไปรู้จักอาการปวดเข่าให้ดียิ่งขึ้น

 

ทำความเข้าใจโครงสร้างข้อเข่าและภาวะข้อเข่าเสื่อม

ข้อเข่าเป็นข้อต่อที่มีความซับซ้อนและมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวัน โครงสร้างหลักของข้อเข่าประกอบด้วยกระดูกส่วนปลายของต้นขา (Femur) และกระดูกหน้าแข้ง (Tibia) รวมถึงกระดูกสะบ้า (Patella) ผิวของกระดูกเหล่านี้ในส่วนที่สัมผัสกันภายในข้อจะถูกคลุมด้วยกระดูกอ่อนผิวข้อ (Articular Cartilage) ซึ่งมีลักษณะเรียบ ลื่น และยืดหยุ่น ทำหน้าที่เหมือนเบาะรองรับแรงกระแทกและช่วยให้การเคลื่อนไหวของข้อเป็นไปอย่างราบรื่น ยังมีหมอนรองกระดูกข้อเข่า (Meniscus) ซึ่งเป็นแผ่นกระดูกอ่อนรูปเสี้ยวพระจันทร์ อยู่ระหว่างกระดูกต้นขาและหน้าแข้ง ทำหน้าที่ช่วยกระจายน้ำหนักและเพิ่มความมั่นคงให้กับข้อเข่า

 

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดข้อเข่าเสื่อมเกิดจากอะไร

ภาวะข้อเข่าเสื่อม คือภาวะที่กระดูกอ่อนผิวข้อเกิดการเสื่อมสภาพและสึกหรอ การเสื่อมนี้ทำให้กระดูกอ่อนบางลง พื้นผิวขรุขระ ไม่เรียบลื่นเหมือนเดิม ส่งผลให้การเคลื่อนไหวของข้อเข่าไม่ราบรื่น เกิดการเสียดสีกันมากขึ้น โดยภาวะข้อเข่าเสื่อมยังอาจส่งผลกระทบต่อโครงสร้างอื่นๆ ในข้อด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของกระดูกบริเวณใกล้เคียง หรือการเกิดกระดูกงอกได้ ภาวะนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมได้ และมักจะเสื่อมสภาพลงเรื่อยๆ ตามลำดับ หลายคนอาจเข้าใจว่าภาวะข้อเข่าเสื่อมเกิดจากอายุที่มากขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่ในความเป็นจริงแล้ว โรคนี้เกิดจากปัจจัยเสี่ยงหลายประการประกอบกัน ทั้งปัจจัยที่เราควบคุมได้และควบคุมไม่ได้ การทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถป้องกันหรือชะลอการเกิดข้อเข่าเสื่อมได้

  • อายุ : ความเสี่ยงของข้อเข่าเสื่อมเพิ่มขึ้นตามอายุที่มากขึ้น โดยมักพบในผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป และอาจพบได้ถึง 40% ในผู้ที่มีอายุ 60 ปี เนื่องจากกระดูกอ่อนผิวข้อมีการเสื่อมสภาพตามกาลเวลาและการใช้งาน
  • น้ำหนักตัวเกิน : การมีน้ำหนักตัวมากเกินเกณฑ์เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ เพราะข้อเข่าต้องรับน้ำหนักเพิ่มขึ้น ทำให้กระดูกอ่อนสึกกร่อนเร็วขึ้น ทุกๆ 0.5 กิโลกรัมของน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น จะเพิ่มแรงกระทำต่อข้อเข่าประมาณ 1-1.5 กิโลกรัม นอกจากนี้ เนื้อเยื่อไขมันยังสามารถสร้างสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบในข้อได้
  • เพศ : ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมมากกว่าผู้ชายประมาณ 2-3 เท่า ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับระบบฮอร์โมนในร่างกาย
  • การใช้งานข้อเข่า : การใช้งานข้อเข่าอย่างหนัก หรืออยู่ในท่าทางที่เพิ่มแรงกดต่อข้อเข่าเป็นประจำ เช่น การนั่งคุกเข่า นั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิ นั่งยองๆ การขึ้นลงบันไดบ่อยๆ การยกของหนัก หรือการทำงานที่ต้องยืนนานๆ ล้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อข้อเข่าเสื่อม
  • ประวัติการบาดเจ็บที่ข้อเข่า : ผู้ที่เคยได้รับบาดเจ็บบริเวณข้อเข่า เช่น กระดูกหักเข้าข้อ ข้อเคลื่อนหลุด เส้นเอ็นฉีกขาด หรือหมอนรองกระดูกเข่าฉีกขาด มีความเสี่ยงสูงขึ้น แม้ว่าการบาดเจ็บนั้นจะเกิดขึ้นนานแล้วและดูเหมือนหายดีแล้วก็ตาม
  • การเล่นกีฬาบางประเภท : กีฬาที่มีการกระแทก การกระโดด หรือการบิดหมุนของเข่าบ่อยๆ เช่น ฟุตบอล หรือการวิ่งระยะไกล สามารถเพิ่มความเสี่ยงได้
  • ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อต้นขา : กล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้าที่อ่อนแรง จะไม่สามารถช่วยพยุงข้อเข่าได้ดี ทำให้ข้อเข่ามีความเสี่ยงต่อการเสื่อมมากขึ้น
  • ความผิดปกติของสรีระของข้อเข่า : ความผิดปกติของแนวแกนขา เช่น ขาโก่ง หรือเข่าชิดกันมากกว่าปกติ หรือความยาวของขาสองข้างไม่เท่ากัน โดยเฉพาะถ้าต่างกันเกิน 2 เซนติเมตร อาจเพิ่มแรงกดที่ผิดปกติต่อข้อเข่า
  • พันธุกรรม : บางคนอาจมีแนวโน้มทางพันธุกรรมที่จะเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมได้ง่ายกว่าคนอื่น
  • โรคประจำตัว : โรคบางอย่าง เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคเกาต์ ข้ออักเสบติดเชื้อ หรือโรคทางเมตาบอลิก เช่น เบาหวาน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดข้อเข่าเสื่อมได้

อาการของโรคข้อเข่าเสื่อมเป็นอย่างไร?

อาการของโรคข้อเข่าเสื่อมมักจะค่อยๆ แสดงออกมาและรุนแรงขึ้นตามลำดับเมื่อเวลาผ่านไป หรือเมื่อมีการใช้งานข้อเข่ามากขึ้น อาการที่ปรากฏอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของโรคและพยาธิสภาพที่เกิดขึ้นภายในข้อเข่า สัญญาณเตือนและอาการที่พบบ่อยของภาวะข้อเข่าเสื่อม มีดังนี้

อาการปวดเข่า

เป็นอาการหลักที่พบบ่อยที่สุด ผู้ป่วยมักมีอาการปวดบริเวณข้อเข่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการเคลื่อนไหวหรือใช้งานข้อเข่า เช่น ขณะเดิน, ขึ้นลงบันได, นั่งยองๆ, นั่งพับเพียบ หรือนั่งขัดสมาธิ อาการปวดมักจะดีขึ้นเมื่อได้พักการใช้งานข้อ ในระยะแรกอาจปวดเฉพาะเวลาเคลื่อนไหว แต่เมื่อความเสื่อมรุนแรงขึ้น อาการปวดอาจเกิดบ่อยขึ้น รุนแรงขึ้น หรือปวดตลอดเวลาแม้ในขณะพัก บางรายอาจรู้สึกปวดเสียวแปลบภายในข้อเข่า หรือรู้สึกปวดตื้อๆ

ข้อเข่าฝืดแข็ง

มีอาการอาจรู้สึกว่าข้อเข่าฝืด ขยับได้ไม่คล่องเหมือนเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเช้าหลังตื่นนอน หรือหลังจากนั่งหรืออยู่ในท่าเดิมนานๆ เมื่อเริ่มขยับข้อเข่า อาจต้องใช้เวลาสักพักจึงจะรู้สึกเคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้น

การเคลื่อนไหวข้อเข่าจำกัด

ความสามารถในการงอหรือเหยียดข้อเข่าทำได้ไม่สุดเหมือนปกติ อาจรู้สึกว่าข้อเข่าติดขัด งอหรือเหยียดได้ลำบาก ในบางรายอาจมีอาการข้อเข่าติด ไม่สามารถงอหรือเหยียดได้เต็มที่ และจะรู้สึกปวดเมื่อพยายามฝืนขยับ

มีเสียงในข้อเข่า

ขณะเคลื่อนไหวข้อเข่า เช่น งอหรือเหยียดเข่า อาจได้ยินเสียงดังกรอบแกรบ หรือรู้สึกเหมือนมีอะไรเสียดสีกันภายในข้อ ซึ่งเกิดจากการที่กระดูกอ่อนผิวข้อสึกหรอ ทำให้กระดูกแข็งที่อยู่ข้างใต้มาเสียดสีกัน

ข้อเข่าผิดรูปและบวม

ในระยะท้ายๆ ของโรค ข้อเข่าอาจมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างอย่างเห็นได้ชัด เช่น ข้อเข่าโก่งเข้าด้านในหรือโก่งออกด้านนอก อาจมีอาการบวมของข้อเข่า ซึ่งเกิดจากการอักเสบและการสร้างน้ำในข้อเข่าเพิ่มขึ้น

กล้ามเนื้อรอบเข่าอ่อนแรง

กล้ามเนื้อต้นขา โดยเฉพาะด้านหน้า อาจมีขนาดเล็กลงหรืออ่อนแรงลง ทำให้รู้สึกเมื่อยล้าง่ายบริเวณรอบเข่า และอาจส่งผลให้เข่าดูหลวม ไม่มั่นคง หรือเข่าทรุดเมื่อเดิน

 

แนวทางการรักษาอาการปวดเข่าจากข้อเข่าเสื่อม

1. การฉีดยาเพื่อบรรเทาอาการปวดและฟื้นฟูข้อต่อ

  • การฉีดคอร์ติโคสเตอรอยด์ (Corticosteroid Injection)                                            คอร์ติโคสเตอรอยด์เป็นยาต้านการอักเสบที่มีประสิทธิภาพสูงในการลดอาการบวม ปวด และการอักเสบในข้อต่อ แพทย์จะฉีดยานี้เข้าสู่ข้อเข่าโดยตรง เพื่อให้ยาออกฤทธิ์ลดการอักเสบที่ต้นเหตุ ข้อดีของการรักษาด้วยวิธีนี้คือได้ผลเร็ว เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดรุนแรงหรือข้อเข่ามีการอักเสบเฉียบพลัน แต่มีข้อเสียคือไม่เหมาะสำหรับการใช้ในระยะยาว เนื่องจากการฉีดยาบ่อยครั้งอาจทำให้กระดูกอ่อนเสื่อมเร็วขึ้น โดยทั่วไป ผลของการฉีดยาคอร์ติโคสเตอรอยด์จะช่วยลดอาการปวดได้นานประมาณ 2-3 เดือน
  • การฉีดน้ำหล่อเลี้ยงข้อ (Hyaluronic Acid Injection)                                                สารไฮยาลูรอนิคเป็นส่วนประกอบสำคัญของน้ำหล่อเลี้ยงข้อตามธรรมชาติ การฉีดสารนี้เข้าไปในข้อเข่าจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและลดแรงเสียดทานในข้อต่อ ทำให้ข้อเข่าเคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้น เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปวดไม่รุนแรงจนเกินไป แต่มีข้อเสียคืออาจต้องฉีดหลายครั้งตามแผนการรักษาและมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ผลของการฉีดน้ำหล่อเลี้ยงข้อสามารถช่วยลดอาการปวดได้นานถึง 6-12 เดือน ซึ่งมีระยะเวลานานกว่าการฉีดคอร์ติโคสเตอรอยด์

 

2. การรักษาด้วยเทคโนโลยีเซลล์ (Biologic Treatments)

ปัจจุบันวงการแพทย์ได้พัฒนาเทคโนโลยีการรักษาที่ใช้เซลล์หรือสารชีวภาพจากร่างกายของผู้ป่วยเองมาช่วยในการรักษาอาการข้อเข่าเสื่อม วิธีการเหล่านี้มุ่งเน้นที่การกระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อและลดการอักเสบภายในข้อต่อโดยใช้กลไกการฟื้นฟูตามธรรมชาติของร่างกาย

  • การฉีดพลาสมาเข้มข้นหรือ PRP (Platelet-Rich Plasma)                                            PRP ได้มาจากการแยกเลือดของผู้ป่วยเองเพื่อให้ได้ส่วนที่เป็นเกล็ดเลือดเข้มข้น ซึ่งอุดมไปด้วยโกรทแฟคเตอร์และสารเร่งการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ เมื่อนำมาฉีดเข้าสู่ข้อเข่าที่มีปัญหา จะช่วยลดการอักเสบและกระตุ้นการซ่อมแซมกระดูกอ่อนที่เสื่อมสภาพ ข้อดีของการรักษาด้วย PRP คือเป็นสารจากร่างกายของผู้ป่วยเองจึงมีความปลอดภัยสูง 
  • การฉีดสเต็มเซลล์ (Stem Cell Therapy)                                                              การรักษาด้วยสเต็มเซลล์เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีขั้นสูงที่ใช้เซลล์ต้นกำเนิดจากไขกระดูกหรือไขมันของผู้ป่วยเองเพื่อกระตุ้นการซ่อมแซมข้อเสื่อม เซลล์ต้นกำเนิดเหล่านี้มีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์ชนิดต่างๆ รวมถึงเซลล์กระดูกอ่อน ทำให้สามารถช่วยฟื้นฟูเนื้อเยื่อที่เสื่อมสภาพได้ การรักษานี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีข้อเสื่อมในระยะเริ่มต้นถึงปานกลาง และต้องการหลีกเลี่ยงการผ่าตัด ข้อดีคือสามารถกระตุ้นการฟื้นฟูของกระดูกอ่อนและลดอาการปวดได้

 

3. การผ่าตัดเปลี่ยนข้อต่อ (Joint Replacement Surgery)

สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปวดรุนแรงและข้อเข่าเสื่อมมาก จนส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก และการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ ไม่ได้ผล การผ่าตัดเปลี่ยนข้อต่อเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสูงในการฟื้นฟูการทำงานของข้อและลดอาการปวดอย่างถาวร

 

4. การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม (Total Knee Replacement)

ในการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม แพทย์ศัลยกรรมกระดูกจะนำข้อเข่าเดิมที่เสื่อมสภาพออกและแทนที่ด้วยข้อเข่าเทียมที่ทำจากโลหะและพลาสติกชนิดพิเศษ ข้อดีของการผ่าตัดวิธีนี้คือช่วยลดอาการปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพและฟื้นฟูการเคลื่อนไหวได้ดี ทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติ อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดนี้มีข้อเสียคือต้องพักฟื้นเป็นเวลานานและมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนต่างๆได้เช่นกัน

 

5. การทำ Pain Intervention บรรเทาอาการปวดเข่าโดยไม่ต้องผ่าตัด

การทำลายเส้นประสาทด้วยคลื่นวิทยุ (Radiofrequency Ablation, RFA) : เป็นเทคนิคทางการแพทย์ที่มีการรุกล้ำน้อย (Minimally Invasive) สามารถทำได้แบบผู้ป่วยนอกโดยไม่ต้องนอนโรงพยาบาล หลักการคือการใช้คลื่นวิทยุความถี่สูงทำลายเส้นประสาทที่ส่งสัญญาณความเจ็บปวดจากข้อเข่าไปยังสมอง ทำให้สามารถบรรเทาอาการปวดได้โดยที่ยังคงความสามารถในการเคลื่อนไหวของข้อเข่า วิธีนี้เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีอาการปวดข้อเข่าเรื้อรังรุนแรง เพราะมีระยะเวลาพักฟื้นสั้น ไม่มีแผลผ่าตัดขนาดใหญ่ ใช้เพียงยาระงับความรู้สึกแบบอ่อน และผู้ป่วยสามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ในวันถัดไป

 

สรุป

แม้ความเสื่อมตามวัยจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่สิ่งที่เราทำได้คือ เราสามารถดูแลข้อเข่าเพื่อชะลอความเสื่อมและลดความเสี่ยงได้ เริ่มต้นกันที่ปัจจัยสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งคือน้ำหนัก หากเมื่ออายุเรามากยิ่งขึ้น เราควบคุมน้ำหนักตัวดี ก็ลดความเสี่ยงได้ ระหว่างวันให้คุณหลีกเลี่ยงการใช้งานข้อเข่าหนักเกินไป ปรับเปลี่ยนอิริยาบถ ลดการนั่งยองๆ พับเพียบ คุกเข่า หากเป็นไปได้ก็ให้บริหารกล้ามเนื้อต้นขาและรอบข้อเข่าให้แข็งแรงอยู่เสมอ และเพิ่มเติมให้คุณเลือกซื้อรองเท้าให้ดี รองเท้าที่รองรับแรงกระแทกได้ ก็จะช่วยลดภาระต่อข้อเข่าได้เช่นกัน หากทำทุกอย่างเราชื่อว่าคุณจะลดความเสี่ยงที่จะเกิดการเสื่อมของข้อเข่าได้แน่นอน

 


บทความที่เกี่ยวข้อง
ผู้ชายกำลังใส่เฝือกเนื่องจากกระดูกหัก
รู้จักกับวิธีการป้องกันการบาดเจ็บและการดูแลสุขภาพหลังการรักษากระดูกหัก เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
30 พ.ค. 2025
มือกำลังจับในส่วนของเส้นเอ็น เนื่องจากมีอาการเอ็นอักเสบ
รู้จักวิธีการรักษาเอ็นอักเสบอย่างมีประสิทธิภาพทั้งจากการบำบัดทางกายภาพและการใช้ยา รวมถึงการดูแลตนเองที่ช่วยเร่งกระบวนการฟื้นฟูและบรรเทาอาการปวด
30 พ.ค. 2025
ผู้หญิงกำลังนั่งจับข้อเท้า
หากข้อเท้าพลิกแล้วไม่หายภายใน 3 เดือน อาจมีปัญหาที่ต้องการการรักษาที่ตรงจุด รู้จักกับวิธีการรักษาและการฟื้นฟูอาการที่เหมาะสมเพื่อให้หายเร็วขึ้น
30 พ.ค. 2025
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy