Share

ข้อเท้าพลิกจากการเล่นกีฬา วิธีการดูแลและรักษาเบื้องต้น

Last updated: 28 May 2025

หากคุณเป็นนักกีฬาหรือคนที่รักการออกกำลังกาย แน่นอนว่าการบาดเจ็บเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก โดยเฉพาะอาการข้อเท้าพลิก ซึ่งเป็นการบาดเจ็บที่พบได้บ่อยมากในนักกีฬาหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นบาสเกตบอล ฟุตบอล วอลเลย์บอล เทนนิส วิ่ง หรือกระโดด (ทุกกีฬาที่ต้องเคลื่อนไหว มีความเสี่ยง) เมื่อข้อเท้าพลิกเกิดขึ้นแล้ว 


หากไม่ได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้องในช่วงแรก อาการอาจลุกลามบานปลาย กลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่รบกวนคุณภาพชีวิต ยิ่งหากคุณเป็นนักกีฬาแล้วด้วยจะในระยะยาวกับอาชีพคุณ เพราะการลงน้ำหนักหรือเคลื่อนไหวทำได้ลำบาก เล่นกีฬาได้ไม่เต็มที่ จนบางครั้งต้องหยุดพักการเล่นกีฬาไปได้เลย วันนี้เราจะพาคุณไปเรียนรู้วิธีจัดการกับความเจ็บปวดในช่วงแรก รวมถึงการฟื้นฟูที่ถูกต้อง การป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ และเมื่อไหร่ที่คุณควรพบแพทย์อย่างเร่งด่วน 

 

ข้อเท้าพลิกคืออะไร มีอาการอย่างไร?

ข้อเท้าพลิก หรือ ข้อเท้าแพลง (Ankle Sprain) คือภาวะที่เส้นเอ็น ซึ่งทำหน้าที่ยึดกระดูกข้อเท้า เกิดการบาดเจ็บเนื่องจากการยืดออกมากเกินไป หรือเกิดการฉีกขาด ซึ่งมักพบได้บ่อยในผู้ที่เล่นกีฬาหรือทำกิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวมาก สาเหตุส่วนใหญ่มักเกิดจากอุบัติเหตุที่ข้อเท้ามีการบิด หมุน หรือพลิกอย่างรวดเร็วในท่าที่ผิดธรรมชาติ เกินช่วงการเคลื่อนไหวปกติ ภาวะนี้เป็นการบาดเจ็บที่พบได้บ่อยมากในชีวิตประจำวันและการเล่นกีฬา

 

อาการที่พบในผู้ที่มีภาวะข้อเท้าพลิก

  • ปวด : มักรู้สึกปวดทันทีหลังเกิดการบาดเจ็บ โดยความเจ็บปวดอาจรุนแรงขึ้นเมื่อพยายามลงน้ำหนักที่เท้าข้างที่บาดเจ็บ
  • บวม : บริเวณรอบข้อเท้าจะมีอาการบวมเนื่องจากการอักเสบ ซึ่งอาจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วหลังการบาดเจ็บ
  • แดงและร้อน : บริเวณที่บาดเจ็บอาจมีลักษณะแดงและรู้สึกร้อนเมื่อสัมผัส เนื่องจากเลือดไหลเวียนมายังบริเวณที่บาดเจ็บมากขึ้น
  • รอยช้ำ : อาจพบรอยช้ำหรือจ้ำเลือดบริเวณข้อเท้าหลังเกิดการบาดเจ็บได้ 1-2 วัน
  • เคลื่อนไหวจำกัด : ผู้ป่วยอาจรู้สึกว่าข้อเท้าเคลื่อนไหวได้จำกัด หรือรู้สึกฝืดเมื่อพยายามขยับข้อเท้า
  • ความมั่นคงลดลง : รู้สึกว่าข้อเท้าไม่มั่นคง โดยเฉพาะเมื่อพยายามลงน้ำหนักหรือเดิน

ระดับความรุนแรงของข้อเท้าพลิก

  • ระดับ 1 (เล็กน้อย)
    : เอ็นยืดเล็กน้อย แต่ไม่ฉีกขาด มีอาการบวมเพียงเล็กน้อย ผู้ป่วยยังสามารถลงน้ำหนักที่เท้าได้ แม้จะรู้สึกเจ็บเล็กน้อย ข้อเท้ายังค่อนข้างมั่นคง และการเคลื่อนไหวยังทำได้ใกล้เคียงปกติ

  • ระดับ 2 (ปานกลาง)
    : เอ็นฉีกขาดบางส่วน มีอาการบวมชัดเจนและอาจพบรอยช้ำ ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นเมื่อลงน้ำหนัก ข้อเท้ารู้สึกไม่มั่นคง และพิสัยการเคลื่อนไหวลดลงอย่างชัดเจน อาจต้องใช้อุปกรณ์ช่วยพยุงเดินในระยะแรก

  • ระดับ 3 (รุนแรง)
    : เอ็นฉีกขาดสมบูรณ์ มีอาการบวมอย่างมาก พบรอยช้ำชัดเจน ผู้ป่วยไม่สามารถลงน้ำหนักที่เท้าได้เลยหรือทำได้น้อยมาก รู้สึกว่าข้อเท้าไม่มีความมั่นคงอย่างมาก และมีการเคลื่อนไหวที่จำกัดมาก ในกรณีนี้อาจจำเป็นต้องใช้เฝือกหรืออุปกรณ์พยุงเพื่อให้ข้อเท้าอยู่นิ่งในระหว่างการรักษา

 

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ข้อเท้าพลิกจากการเล่นกีฬา

การลงน้ำหนักผิดท่าและการเคลื่อนไหวที่ไม่ถูกต้อง

การลงน้ำหนักผิดท่าเป็นสาเหตุหลักของการเกิดข้อเท้าพลิก โดยเฉพาะในกีฬาที่ต้องมีการกระโดดหรือเปลี่ยนทิศทางอย่างฉับพลัน เช่น บาสเกตบอล วอลเลย์บอล และฟุตบอล เมื่อนักกีฬากระโดดลงมาและเท้าสัมผัสพื้นในมุมที่ไม่เหมาะสม หรือเมื่อวิ่งแล้วเกิดการเปลี่ยนทิศทางกะทันหัน ข้อเท้าอาจบิดหรือพลิกไปในทิศทางที่ผิดธรรมชาติ ทำให้เส้นเอ็นที่ยึดข้อเท้าถูกยืดออกมากเกินไปหรือฉีกขาด นอกจากนี้ การวิ่งหรือเล่นกีฬาในสภาพร่างกายที่เหนื่อยล้าอาจทำให้การควบคุมการเคลื่อนไหวแย่ลง ส่งผลให้มีโอกาสลงน้ำหนักผิดท่ามากขึ้น

 

สภาพพื้นสนามและอุปกรณ์ที่ไม่มีคุณภาพ

สภาพของพื้นสนามและอุปกรณ์ที่ใช้มีผลอย่างมากต่อความเสี่ยงในการเกิดข้อเท้าพลิก พื้นสนามที่ไม่เรียบ มีหลุมบ่อ หรือมีวัสดุที่ทำให้ลื่น เช่น ใบไม้หรือน้ำ อาจทำให้เท้าเกิดการทรงตัวที่ไม่มั่นคงและนำไปสู่การบาดเจ็บได้ง่าย ในส่วนของรองเท้ากีฬา การเลือกใช้รองเท้าที่ไม่เหมาะสมกับประเภทกีฬาหรือรูปทรงเท้าของตนเอง รวมถึงรองเท้าที่สึกหรอหรือขาดการรองรับที่ดี จะลดความมั่นคงในการรองรับน้ำหนักและการเคลื่อนไหว ส่งผลให้ข้อเท้ามีโอกาสพลิกได้มากขึ้น 

 

ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและการอบอุ่นร่างกาย

กล้ามเนื้อรอบข้อเท้าที่อ่อนแรงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้เกิดข้อเท้าพลิก กล้ามเนื้อน่องและกล้ามเนื้อด้านข้างของขาส่วนล่างมีหน้าที่ช่วยพยุงและให้ความมั่นคงแก่ข้อเท้า หากกล้ามเนื้อเหล่านี้ไม่แข็งแรงเพียงพอ จะไม่สามารถช่วยรักษาเสถียรภาพของข้อเท้าได้ดีเมื่อเกิดการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วหรือรุนแรง นอกจากนี้ การวอร์มอัพหรืออบอุ่นร่างกายที่ไม่เพียงพอก่อนเล่นกีฬา ทำให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นไม่พร้อมสำหรับการรับแรงกระแทกหรือการเคลื่อนไหวที่รุนแรง ทำให้มีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บสูงขึ้น 

 

ประวัติการบาดเจ็บเดิม

ผู้ที่เคยมีประวัติข้อเท้าพลิกมาก่อน มีความเสี่ยงที่จะเกิดการบาดเจ็บซ้ำได้มากกว่าคนทั่วไป โดยเฉพาะหากไม่ได้รับการฟื้นฟูอย่างเหมาะสมหรือกลับมาเล่นกีฬาเร็วเกินไป การบาดเจ็บครั้งก่อนอาจทำให้เกิดความหลวมของเส้นเอ็นและลดความมั่นคงของข้อเท้า รวมถึงลดประสิทธิภาพในการรับรู้ตำแหน่งของข้อต่อ ซึ่งมีผลต่อการทรงตัวและการตอบสนองของกล้ามเนื้อ 

 

 

วิธีการดูแลและรักษาเบื้องต้นเมื่อข้อเท้าพลิก

การรักษาข้อเท้าพลิกอย่างเหมาะสมในช่วงแรกมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการฟื้นตัวที่รวดเร็วและป้องกันภาวะแทรกซ้อนระยะยาว เมื่อเกิดอาการข้อเท้าพลิก คุณสามารถเริ่มต้นการดูแลด้วยตนเองได้ทันทีด้วยหลักการ RICE ซึ่งเป็นวิธีมาตรฐานในการปฐมพยาบาลเบื้องต้นสำหรับการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อและเอ็น 

 

หลักการ RICE สำหรับการปฐมพยาบาลเบื้องต้น

 

  • Rest (พักการใช้งาน)
    พักการใช้งานข้อเท้าที่บาดเจ็บมีความจำเป็นอย่างมากในช่วงแรก คุณควรหลีกเลี่ยงการเดิน การวิ่ง หรือกิจกรรมที่ต้องลงน้ำหนักที่ข้อเท้า การพักจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการบาดเจ็บเพิ่มเติมและช่วยให้กระบวนการฟื้นตัวเริ่มต้นได้อย่างเหมาะสม ในกรณีที่จำเป็นต้องเคลื่อนไหว อาจพิจารณาใช้ไม้ค้ำยัน หรืออุปกรณ์ช่วยเดินเพื่อลดการลงน้ำหนักที่ข้อเท้า

 

  • Ice (ประคบเย็น)
    การประคบเย็นเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดอาการบวมและบรรเทาความเจ็บปวด ควรประคบเย็นบริเวณที่บาดเจ็บเป็นเวลา 15-20 นาที ทุก 2-3 ชั่วโมง โดยเฉพาะใน 24-48 ชั่วโมงแรกหลังการบาดเจ็บ ขณะประคบเย็น ควรใช้ผ้าหรือผ้าเช็ดตัวบางๆ รองระหว่างผิวหนังกับถุงน้ำแข็ง เพื่อป้องกันการบาดเจ็บของผิวหนังจากความเย็นจัด

 

  • Compression (การพันผ้ายืด)
    ใช้ผ้าพันแผลแบบยืดหยุ่นรอบข้อเท้าที่บาดเจ็บจะช่วยลดอาการบวมและให้การพยุงที่จำเป็น การพันควรมีความกระชับพอดี ไม่แน่นจนเกินไป เพราะอาจขัดขวางการไหลเวียนของเลือด หากรู้สึกว่าปลายเท้าชา เย็น หรือมีอาการปวดตุ๊บๆ ควรคลายผ้าพันทันที

 

  • Elevation (การยกสูง)
    ให้ยกข้อเท้าที่บาดเจ็บให้อยู่เหนือระดับหัวใจจะช่วยลดอาการบวมได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอาศัยแรงโน้มถ่วงช่วยระบายของเหลวออกจากบริเวณที่บาดเจ็บ วิธีนี้จะได้ผลดีที่สุดเมื่อทำควบคู่ไปกับการพักการใช้งาน การประคบเย็น และการพันผ้ายืด คุณสามารถใช้หมอนหรือผ้าห่มพับรองใต้ขาเพื่อยกข้อเท้าให้สูงขึ้นได้

 

การใช้ยาบรรเทาอาการ


ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) สามารถช่วยลดอาการปวดและอาการบวมได้ ควรใช้ยาตามที่แพทย์สั่ง แพทย์อาจพิจารณาฉีดยาสเตียรอยด์เฉพาะที่หรือ PRP (Platelet-Rich Plasma) เพื่อเร่งการฟื้นตัวของเนื้อเยื่อที่บาดเจ็บ


กายภาพบำบัด


หลังจากอาการปวดและบวมในระยะแรกลดลง การทำกายภาพบำบัดและการบริหารข้อเท้าอย่างเหมาะสม มีความสำคัญอย่างยิ่งในการฟื้นฟูความแข็งแรง ความยืดหยุ่น และการทรงตัวของข้อเท้า การฟื้นฟูที่ดีจะช่วยให้สามารถกลับไปทำกิจกรรมหรือเล่นกีฬาได้อย่างปลอดภัย ลดโอกาสการบาดเจ็บซ้ำในอนาคต


เมื่อไรควรพบแพทย์?


แม้ว่าการบาดเจ็บของข้อเท้าส่วนใหญ่สามารถรักษาได้ด้วยตนเองที่บ้าน แต่การวินิจฉัยที่ถูกต้องจากแพทย์มีความสำคัญ เพราะในกรณีที่สงสัยว่าอาจมีกระดูกร้าว หรือเอ็นฉีกขาดอย่างรุนแรง แพทย์อาจจำเป็นต้องส่งตรวจเพิ่มเติม เพื่อประเมินความรุนแรงของการบาดเจ็บและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม ดังนั้นคุณควรพบแพทย์ทันทีหากมีอาการดังต่อไปนี้

  • ไม่สามารถลงน้ำหนักที่เท้าได้เลย
  • มีอาการบวมอย่างรุนแรง
  • มีรอยช้ำมากผิดปกติ
  • รู้สึกว่าข้อเท้าไม่มั่นคงอย่างมาก หรือมีความรู้สึกว่ากระดูกเคลื่อน
  • อาการปวดรุนแรงและไม่ดีขึ้นหลังจากใช้หลักการ RICE
  • มีอาการชา หรือรู้สึกเสียวซ่าบริเวณเท้าหรือข้อเท้า

 

ท้ายบทความ : แนะนำวิธีการป้องกันข้อเท้าพลิก


หากคุณเล่นกีฬาการป้องกันข้อเท้าพลิกและลดความเสี่ยงการบาดเจ็บซ้ำเป็นสิ่งที่สำคัญพอๆ กับการใส่สุขภาพออกกำลังเป็นประจำให้ร่างกายแข็งแรง อย่างแรกให้เราใส่ใจกับอุปกรณ์เล่นกีฬาต่างๆ มีคุณภาพ เลือกใช้รองเท้าเล่นกีฬาที่คุณภาพดี เพราะสำหรับสรีระของเรา รองรับน้ำหนักเราได้ ควบคู่กับการวอร์มอัพและยืดกล้ามเนื้อ ก่อนเล่นกีฬาอย่างน้อย 10-15 นาที เพื่อเตรียมความพร้อมให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นรับมือกับการเคลื่อนไหวรวดเร็ว ฝึกเสริมความแข็งแรงกล้ามเนื้อรอบข้อเท้าและน่อง เพิ่มเติมให้ฝึกเสริมความแข็งแรงกล้ามเนื้อรอบข้อเท้าและน่อง หากคุณมีสัญญาณบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยก็ขอให้อย่าละเลยสัญญาณบาดเจ็บเล็กน้อย เพราะหากคุณใช้งานข้อเท้าเมื่อมีอาการ อาจทำให้อาการรุนแรงขึ้น จนบางครั้งอาจเกิดอาการอันตรายต่างๆ ได้ สำคัญที่สุดคือ การป้องกันย่อมดีกว่าการรักษา


Related Content
Pelvic Endometriosis, ปวดท้องเม้นท์, ปวดประจำเดือน, ปวดท้อง, เซเปี้ยนซ์, นาตยา
โรคนี้เกิดจากการที่เนื้อเยื่อคล้ายเยื่อบุโพรงมดลูก (endometrial-like tissue) เจริญเติบโตอยู่นอกโพรงมดลูก เช่น บริเวณรังไข่ ท่อนำไข่ พังผืดในอุ้งเชิงกราน หรือแม้กระทั่งที่ผนังลำไส้หรือกระเพาะปัสสาวะ
31 Aug 2025
ปวดท้องน้อย, ปวดประจำเดือน, หมอนาตยา
อาการปวดท้องน้อยจากการมีประจำเดือน Primary Dysmenorrhea เกิดจากการสร้างสาร prostaglandin มากกว่าปกติ ส่งผลให้กล้ามเนื้อมดลูกหดรัดตัวรุนแรง เกิดอาการปวดเกร็ง ถ่ายเหลว หรือคลื่นไส้
21 Aug 2025
เทนนิส, กีฬา, เซเปี้ยนซ์
โรงพยาบาลเซเปี้ยนซ์ ในฐานะผู้นำด้านเวชศาสตร์การกีฬาและการระงับปวดเฉพาะทาง มองเห็นว่า การรักษาที่ดี ต้องเริ่มจากความเข้าใจ biomechanic และ pain pathway ที่ถูกต้อง
4 Aug 2025
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Privacy Policy and Cookies Policy
Compare product
0/4
Remove all
Compare
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy