การรักษาเอ็นอักเสบ วิธีการบำบัดที่ใช้ผลได้จริง
เข้าใจภาวะเอ็นอักเสบ และอาการเป็นอย่างไร
- ปวดบริเวณที่เอ็นอักเสบ : มักมีอาการปวดตื้อๆ หรือปวดเสียดแทงเป็นจุด โดยเฉพาะเมื่อมีการเคลื่อนไหวหรือออกแรง
- เมื่อกดแล้วเจ็บ : บริเวณที่เอ็นอักเสบมักมีอาการเจ็บเมื่อกดหรือสัมผั
- อาการบวม : อาจพบอาการบวมเล็กน้อยบริเวณที่มีการอักเส
- รู้สึกฝืดหรือตึง : ข้อต่อบริเวณที่มีเอ็นอักเสบอาจรู้สึกฝืดหรือเคลื่อนไหวลำบาก โดยเฉพาะในตอนเช้าหรือหลังจากพักเป็นเวลานา
- เสียงดังกรอบแกรบ : บางรายอาจได้ยินเสียงกรอบแกรบเมื่อมีการเคลื่อนไหวข้อต่อที่มีเอ็นอักเสบ
ประเภทของเอ็นอักเสบที่พบได้บ่อย
- เอ็นไหล่อักเสบ : พบในนักกีฬาที่ต้องยกแขนเหนือศีรษะบ่อยๆ เช่น นักว่ายน้ำ นักเทนนิส
- เอ็นข้อศอกด้านในอักเสบ : พบในนักกอล์ฟหรือผู้ที่ใช้การงอข้อมือและข้อศอกซ้ำ
- เอ็นข้อศอกด้านนอกอักเสบ : พบในนักเทนนิสหรือผู้ที่ใช้การเหยียดข้อมือซ้ำ
- เอ็นสะบ้าอักเสบ : พบในนักกระโดดสูง นักบาสเก็ตบอล นักวอลเลย์บอ
- เอ็นร้อยหวายอักเสบ : พบในนักวิ่งหรือผู้ที่ออกกำลังกายที่มีการกระแทกที่เท้ามาก
ภาวะเอ็นอักเสบเฉียบพลันและเรื้อรังต่างกันอย่างไร
เอ็นอักเสบเฉียบพลันจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว มักมีสาเหตุจากการบาดเจ็บหรือการใช้งานหนักเกินไปในระยะเวลาสั้นๆ อาการมักดีขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์หากได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ส่วนเอ็นอักเสบแบบเรื้อรังจะเกิดจากการอักเสบที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม หรือมีการใช้งานซ้ำๆ เป็นเวลานาน อาการอาจคงอยู่เป็นเดือนหรือเป็นปี และอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อเอ็นแบบถาวร
สาเหตุของอาการเอ็นอักเสบมีอะไรบ้าง
เอ็นอักเสบเป็นภาวะที่สามารถเกิดได้จากหลากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวซ้ำๆ อุบัติเหตุ หรือแม้แต่สภาพร่างกายของแต่ละบุคคล การทำความเข้าใจถึงสาเหตุต่างๆ จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถระมัดระวังและป้องกันการเกิดอาการได้อย่างเหมาะสม โดยสาเหตุหลักๆ ของเอ็นอักเสบมีดังต่อไปนี้
การใช้งานมากเกินไป
การใช้กล้ามเนื้อและเอ็นซ้ำๆ เป็นเวลานานถือเป็นสาเหตุสำคัญที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ทำงานหรือกิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวในรูปแบบเดิมซ้ำๆ เช่น การพิมพ์คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน การใช้เครื่องมือที่มีการสั่นสะเทือน หรืองานก่อสร้างที่ต้องออกแรงมาก นอกจากนี้ยังพบได้บ่อยในกลุ่มนักกีฬาที่เล่นกีฬาที่ต้องใช้เทคนิคเฉพาะและมีการเคลื่อนไหวซ้ำๆ อย่างเทนนิส กอล์ฟ วิ่ง และว่ายน้ำ รวมถึงนักดนตรีที่ต้องเล่นเครื่องดนตรีในท่าทางเดิมๆ เป็นเวลานาน เช่น นักไวโอลิน หรือนักกีตาร์การบาดเจ็บฉับพลัน
อุบัติเหตุหรือการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญ เช่น การกระแทกหรือการกระชากที่ทำให้เอ็นได้รับแรงกระทำมากเกินไปในทันที หรืออุบัติเหตุจากการหกล้ม การชน ที่ส่งผลให้เอ็นได้รับความเสียหาย อาการเอ็นอักเสบในกรณีนี้มักเกิดขึ้นทันทีหลังจากได้รับบาดเจ็บ และอาจมีอาการบวม แดง ร้อน และเจ็บปวดชัดเจน
ปัจจัยทางกายภาพและการใช้งานที่ไม่ถูกต้อง
การเอ็นอักเสบหลายกรณีเกิดจากการใช้ร่างกายไม่ถูกวิธี ได้แก่ ท่าทางที่ไม่ถูกต้องในการทำงานหรือเล่นกีฬา เช่น การนั่งทำงานในท่าที่ไม่ถูกต้อง การวิ่งหรือเล่นกีฬาด้วยเทคนิคที่ผิด นอกจากนี้ยังรวมถึงการใช้อุปกรณ์ที่ไม่เหมาะสม เช่น รองเท้าที่ไม่รองรับเท้าอย่างเพียงพอ หรืออุปกรณ์กีฬาที่ไม่เหมาะกับสรีระ การอบอุ่นร่างกายไม่เพียงพอก่อนออกกำลังกาย หรือการเพิ่มความเข้มข้นของการออกกำลังกายอย่างรวดเร็วเกินไป โดยไม่ค่อยๆ ปรับตัว ล้วนเป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเอ็นอักเสบได้
ปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ
สภาวะร่างกายและโรคประจำตัวบางอย่างอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเอ็นอักเสบ โดยเฉพาะอายุที่เพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้เอ็นมีความยืดหยุ่นลดลงและมีความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บมากขึ้น ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคเก๊าท์ หรือโรคเบาหวาน มีโอกาสเกิดเอ็นอักเสบได้ง่ายกว่าคนทั่วไป ภาวะอ้วนก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ เนื่องจากน้ำหนักตัวที่มากเกินไปทำให้เอ็นต้องรับแรงกดมากขึ้น นอกจากนี้ ความไม่สมดุลของกล้ามเนื้อ ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อที่อ่อนแอหรือตึงเกินไป อาจทำให้เกิดแรงดึงที่ผิดปกติบนเอ็นและนำไปสู่การอักเสบได้
ปัจจัยทางกายวิภาคและพันธุกรรม
โครงสร้างร่างกายของแต่ละบุคคลก็มีผลต่อการเกิดเอ็นอักเสบเช่นกัน ผู้ที่มีโครงสร้างร่างกายที่ผิดปกติ เช่น เท้าแบน ขาโก่ง อาจเกิดการกระจายแรงที่ไม่สมดุลเมื่อเคลื่อนไหว ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเอ็นอักเสบได้ ในขณะที่ปัจจัยทางพันธุกรรมก็มีส่วนสำคัญ เนื่องจากบางคนอาจมีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหาเอ็นอักเสบได้ง่ายกว่าคนอื่นเนื่องจากลักษณะทางพันธุกรรมที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ
ปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมและการทำงาน
สภาพแวดล้อมในการทำงานก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเกิดเอ็นอักเสบ โดยเฉพาะสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เช่น โต๊ะทำงานหรือเก้าอี้ที่ไม่เออร์โกโนมิก ทำให้ต้องนั่งหรือทำงานในท่าทางที่ผิดธรรมชาติเป็นเวลานาน การทำงานที่ต้องออกแรงมากโดยไม่มีเวลาพักเพียงพอ ทำให้เอ็นไม่ได้รับการฟื้นฟูอย่างเหมาะสม ตลอดจนการทำงานในสภาพอากาศที่เย็นจัด ซึ่งสามารถทำให้เอ็นมีความยืดหยุ่นลดลงและเสี่ยงต่อการบาดเจ็บมากขึ้น
การรักษาอาการเอ็นอักเสบด้วยยา
การใช้ยาเป็นอีกหนึ่งแนวทางสำคัญในการควบคุมอาการปวดและลดการอักเสบของเอ็น ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยกลับไปใช้ชีวิตประจำวันและทำกิจกรรมต่างๆ ได้ดีขึ้น โดยยาที่ใช้ในการรักษาเอ็นอักเสบมีหลายรูปแบบ ทั้งชนิดรับประทาน ชนิดทาเฉพาะที่ และชนิดฉีด ซึ่งแพทย์จะพิจารณาเลือกใช้ตามความรุนแรงของอาการ สภาพร่างกายของผู้ป่วยแต่ละราย และการตอบสนองต่อการรักษายาแก้ปวดและยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs)
ยากลุ่มนี้ถือเป็นยาหลักที่ใช้บ่อยในการรักษาเอ็นอักเสบระยะแรกๆ หรือในกรณีที่อาการไม่รุนแรงมากนัก ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์โดยการยับยั้งสารเคมีในร่างกายที่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบและอาการปวด จึงช่วยบรรเทาได้ทั้งสองอาการ อย่างไรก็ตาม การใช้ยา NSAIDs ชนิดรับประทานควรระมัดระวัง โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร ไต หรือหัวใจ จึงควรใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกรอย่างเคร่งครัดยาทาเฉพาะที่เพื่อบรรเทาอาการปวด
สำหรับผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงของยาชนิดรับประทาน หรือมีอาการปวดอักเสบเฉพาะที่ไม่รุนแรงมากนัก ซึ่งตัวยาจะซึมผ่านผิวหนังเข้าไปออกฤทธิ์ลดการอักเสบและบรรเทาปวด ณ บริเวณที่มีปัญหาโดยตรง ทำให้มีผลข้างเคียงต่อระบบอื่นๆ ของร่างกายน้อยกว่า ช่วยบรรเทาอาการปวดได้การฉีดคอร์ติโคสเตียรอยด์
ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการปวดและอักเสบของเอ็นค่อนข้างรุนแรง หรืออาการไม่ดีขึ้นหลังจากการรักษาด้วยวิธีอื่นมาระยะหนึ่งแล้ว แพทย์อาจพิจารณาการฉีดยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เข้าบริเวณรอบๆ เอ็นที่มีการอักเสบ ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์เป็นยาต้านการอักเสบที่ออกฤทธิ์แรง สามารถลดอาการปวดบวมได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม การฉีดยาประเภทนี้มักให้ผลการรักษาเพียงชั่วคราว และมีข้อจำกัดคือไม่ควรฉีดซ้ำๆ ในตำแหน่งเดิมบ่อยเกินไป โดยแพทย์จะพิจารณาใช้วิธีการรักษานี้ด้วยความระมัดระวังและเลือกใช้ในกรณีที่เห็นว่าเหมาะสมและจำเป็นจริงๆ เท่านั้น
การบรรเทาอาการเอ็นอักเสบด้วยวิธีการกายภาพบำบัด
กายภาพบำบัดเป็นแนวทางสำคัญและมีประสิทธิภาพในการรักษาและฟื้นฟูภาวะเอ็นอักเสบ ทั้งในระยะเฉียบพลันและเรื้อรัง เป้าหมายหลักคือการลดอาการปวด การอักเสบ เพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงให้กับเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันหรือเล่นกีฬาได้ตามปกติ นักกายภาพบำบัดจะเป็นผู้ประเมินอาการและออกแบบโปรแกรมการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย
การพักและปรับเปลี่ยนกิจกรรม
หลักการพื้นฐานคือการพักการใช้งานส่วนที่อักเสบและหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่กระตุ้นให้เกิดอาการปวดมากขึ้น นักกายภาพบำบัดอาจให้คำแนะนำในการปรับเปลี่ยนท่าทางหรือรูปแบบการเคลื่อนไหวเพื่อลดภาระต่อเส้นเอ็นที่อักเสบการประคบเย็นและร้อน
- การประคบเย็น : เหมาะสำหรับช่วงแรกของการบาดเจ็บ (เฉียบพลัน) หรือเมื่อมีอาการบวมและอักเสบชัดเจน ความเย็นช่วยลดการไหลเวียนเลือด ลดบวม และบรรเทาปวด ควรประคบครั้งละ 15-20 นาที โดยใช้ผ้าห่ออุปกรณ์ประคบเย็นเพื่อป้องกันผิวหนังเสียหาย
- การประคบร้อน : เหมาะสำหรับอาการปวดเรื้อรัง หรือหลังจากระยะอักเสบเฉียบพลันผ่านไปแล้ว (มักเกิน 72 ชั่วโมง) ความร้อนช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด ทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย และลดอาการปวดตึง ควรประคบครั้งละ 15-20 นาที ด้วยอุณหภูมิที่เหมาะสม (ไม่ร้อนเกินไป)
การทำกายภาพบำบัด
- การยืดเหยียดกล้ามเนื้อและเอ็น : ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ลดอาการตึงของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นที่อักเสบ ควรยืดค้างไว้ในจุดที่รู้สึกตึงแต่ไม่เจ็บ ประมาณ 15-30 วินาที และไม่ควรกระตุกหรือโยกตัวขณะยืด การยืดกล้ามเนื้ออย่างสม่ำเสมอช่วยเตรียมความพร้อมและป้องกันการบาดเจ็บซ้ำ
- การฝึกความแข็งแรง : เมื่ออาการปวดลดลง นักกายภาพบำบัดจะแนะนำท่าออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อรอบๆ บริเวณที่อักเสบ การเน้นการออกกำลังกายแบบเกร็งต้านทานขณะยืดกล้ามเนื้อ มีประสิทธิภาพดีในการรักษาเอ็นอักเสบเรื้อรัง
- เทคนิคการรักษาด้วยมือ : นักกายภาพบำบัดอาจใช้เทคนิคการนวด การขยับข้อต่อ หรือการคลึงกล้ามเนื้อด้วยมือ เพื่อช่วยคลายจุดกดเจ็บ ลดอาการปวด และเพิ่มการเคลื่อนไหวของข้อต่อและเนื้อเยื่อ
- การรักษาด้วยคลื่นกระแทก (Shock Wave Therapy) : เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นเสียงความถี่สูงส่งผ่านผิวหนังไปยังเนื้อเยื่อที่บาดเจ็บ คลื่นกระแทกช่วยกระตุ้นกระบวนการซ่อมแซมของเนื้อเยื่อ ลดปวด ลดการอักเสบ สลายหินปูนในเส้นเอ็น และกระตุ้นการสร้างหลอดเลือดใหม่ มักใช้ในกรณีเอ็นอักเสบเรื้อรังที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาแบบอื่น
ท้ายบทความ
ฝากไว้ท้ายบทความ สัญญาณเตือนที่ไม่ควรละเลย แม้ว่าการดูแลตนเองเบื้องต้น เช่น การพัก การประคบเย็น หรือการใช้ยาทั่วไป อาจช่วยบรรเทาอาการเอ็นอักเสบในระยะแรกได้ แต่หากอาการปวดยังคงอยู่ ไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน หรือมีอาการรุนแรงขึ้น เช่น ปวดตื้อๆ บ่อยครั้ง โดยเฉพาะเมื่อเคลื่อนไหว, บวม แดง รู้สึกอุ่นบริเวณที่ปวด, มีก้อนบวมนูน, เคลื่อนไหวลำบาก, หรืออาการเจ็บปวดรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน, สิ่งเหล่านี้ถือเป็นสัญญาณเตือนว่าไม่ควรมองข้ามและควรไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง การปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้อาการกลายเป็นเรื้อรัง หรือรุนแรงถึงขั้นเอ็นฉีกขาดได้ เราอยากฝากไว้ว่าการรักษาเอ็นอักเสบให้ได้ผลดีที่สุดมักต้องอาศัยการผสมผสานหลายวิธี ทั้งการปรับพฤติกรรม การใช้ยา การทำกายภาพบำบัดหรือหัตถการอื่นๆ ตามความเหมาะสม