ล้มหัวฟาดพื้น ปวดคอ วิธีเช็กอาการเบื้องต้นและการรักษา
เมื่อคุณล้มหัวฟาดพื้นจนรู้สึกปวดคอ เราอยากจะให้คุณไม่ใช่มองข้ามกับอาการดังกล่าวนี้ เพราะอาการที่คุณเจออาจจะมีตั้งแต่อาการทั่วไป จนถึงปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงกว่าที่คุณคิดเพราะมันอาจนำไปสู่การบาดเจ็บของสมองหรือกระดูกสันหลังที่ส่งผลต่ออาการที่อาจจะอันตรายที่ส่งผลกระทบที่รุนแรงอาการหนึ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในชีวิตคุณได้ เนื้อหาที่เราเขียนในวันนี้จะเป็นวิธีการตรวจเช็กอาการเบื้องต้น เพื่อให้คุณสามารถประเมินตัวเองได้ พร้อมแล้วไปดูกันเลย
การบาดเจ็บที่เกิดได้ขึ้นเมื่อเราหกล้ม
เมื่อเกิดเหตุการณ์ล้มหัวฟาดพื้น แรงกระแทกที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบเพียงแค่บริเวณศีรษะเท่านั้น แต่อาจส่งแรงต่อไปยังกระดูกสันหลังส่วนคอ ทำให้เกิดการบาดเจ็บได้หลากหลายรูปแบบและหลายระดับความรุนแรง ตั้งแต่เพียงเล็กน้อยไปจนถึงขั้นรุนแรงที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
การบาดเจ็บที่ศีรษะ
การล้มจนศีรษะได้รับแรงกระแทกสามารถก่อให้เกิดการบาดเจ็บได้หลายลักษณะ ตั้งแต่อาการภายนอกไปจนถึงความเสียหายภายในสมอง สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักว่า อาการบาดเจ็บทางสมองบางอย่าง เช่น ภาวะเลือดคั่ง อาจไม่แสดงอาการให้เห็นในทันที แต่อาจปรากฏอาการขึ้นในหลายชั่วโมงหรือหลายวันหลังจากเกิดเหตุการณ์ได้ ดังนั้นเราควรใส่ใจและสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด
- บาดแผลที่หนังศีรษะ : อาจเป็นแผลถลอก แผลฉีกขาด หรือมีเลือดออกบริเวณหนังศีรษะ
- หัวโนหรือหัวปูด : เกิดจากการบวมและมีเลือดคั่งใต้ผิวหนัง บริเวณที่ถูกกระแทกโดยตรง
- กะโหลกศีรษะแตกร้าวหรือยุบ : อาจเกิดขึ้นได้หากแรงกระแทกมีความรุนแรงมากพอ
- สมองกระทบกระเทือน : เป็นการบาดเจ็บที่ทำให้การทำงานของสมองหยุดชะงักชั่วคราว ซึ่งเป็นประเภทของการบาดเจ็บที่สมองที่พบบ่อย อาจมีอาการสับสน มึนงง ปวดศีรษะ หรือหมดสติไปชั่วขณะ
- สมองช้ำ : เนื้อสมองเกิดการฟกช้ำจากแรงกระแทก
- เลือดคั่งในสมอง : ภาวะที่มีเลือดออกและคั่งอยู่ภายในกะโหลกศีรษะ อาจเกิดในเนื้อสมองหรือระหว่างชั้นเยื่อหุ้มสมอง ซึ่งอาจกดเบียดเนื้อสมองและเป็นอันตรายอย่างยิ่ง จำเป็นต้องได้รับการดูแลฉุกเฉิน
การบาดเจ็บที่คอ
- กล้ามเนื้อคอบาดเจ็บ : เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดกรณีอุบัติเหตุไม่รุนแรง เกิดจากการฉีกขาดของใยกล้ามเนื้อ ทำให้มีอาการปวด ตึง และจะปวดมากขึ้นเมื่อขยับคอ
- เอ็นยึดข้อต่อบาดเจ็บ : เอ็นที่ช่วยยึดข้อต่อกระดูกคอเกิดการยืดหรือฉีกขาด
- หมอนรองกระดูกคอเคลื่อน : หมอนรองกระดูกซึ่งทำหน้าที่รองรับแรงกระแทกระหว่างข้อกระดูกคอ อาจเคลื่อนไปกดทับเส้นประสาท ทำให้เกิดอาการปวดร้าว ชา หรืออ่อนแรงได้
- กระดูกคอหัก หรือเคลื่อน : เป็นการบาดเจ็บที่รุนแรง มักพบในอุบัติเหตุที่มีความรุนแรงสูง เช่น การตกจากที่สูง หากมีการกดทับเส้นประสาทหรือไขสันหลัง อาจทำให้เกิดอาการชา อ่อนแรง หรือเป็นอัมพาตได้ การบาดเจ็บลักษณะนี้ต้องการการดูแลอย่างเร่งด่วนและต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วยอย่างระมัดระวัง
หลังจากเกิดเหตุการณ์ล้มหัวฟาดพื้นขึ้นต้องทำอย่างไร
ภายหลังจากประสบอุบัติเหตุล้มหัวฟาดพื้น ไม่ว่าจะมีอาการบาดเจ็บที่มองเห็นได้ชัดเจนหรือไม่ก็ตาม การปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องและรอบคอบในทันทีเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการกระทำบางอย่างอาจส่งผลต่อระดับความรุนแรงของการบาดเจ็บได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการบาดเจ็บที่คอหรือกระดูกสันหลังร่วมด้วย สิ่งสำคัญอันดับแรกคือการตั้งสติและประเมินสถานการณ์อย่างใจเย็น เรามีข้อควรปฏิบัติ 8 ข้อมาแนะนำ
1. ตรวจสอบการตอบสนองและสัญญาณชีพ : หากผู้บาดเจ็บหมดสติหรือไม่รู้สึกตัว ให้ตรวจดูการหายใจและจับชีพจร หากหายใจไม่สะดวกหรือหยุดหายใจ ควรเริ่มทำ CPR ทันทีหากมีความรู้และทักษะ
2. ห้ามเคลื่อนย้ายโดยไม่จำเป็น : หากสงสัยว่าอาจมีการบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังส่วนคอหรือส่วนอื่นๆ ห้ามเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บโดยเด็ดขาดจนกว่าทีมแพทย์ฉุกเฉินจะมาถึง เพราะการเคลื่อนย้ายที่ไม่ถูกวิธีอาจทำให้อาการรุนแรงขึ้นหรือเกิดอัมพาตได้ หากจำเป็นต้องเคลื่อนย้ายจริงๆ ควรประคองศีรษะและคอให้อยู่นิ่งมากที่สุด อาจใช้มือสองข้างประคองศีรษะและไหล่ หรือใช้วัตถุแข็งรองใต้ลำตัวและศีรษะ ควรให้ผู้บาดเจ็บนั่งหรือนอนนิ่งๆ ก่อน เพื่อป้องกันอาการหน้ามืดหรือเป็นลม
3. การดูแลบาดแผล : หากมีบาดแผลเปิดและมีเลือดออก ให้ใช้ผ้าสะอาดกดบริเวณแผลเพื่อห้ามเลือด หากเป็นแผลถลอกหรือฟกช้ำ ควรทำความสะอาดแผลด้วยน้ำเกลือหรือน้ำสะอาด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
4. การจัดการกับอาการบวม (หัวโน) : หากมีอาการบวมหรือหัวโน ให้ใช้เจลประคบเย็นหรือถุงน้ำแข็งห่อด้วยผ้าสะอาดประคบบริเวณที่บวมประมาณ 15-20 นาที การประคบเย็นในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรกจะช่วยให้เส้นเลือดหดตัว ลดอาการบวมและปวดได้ หลังจาก 48 ชั่วโมงไปแล้ว อาจเปลี่ยนเป็นการประคบร้อนเพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต
5. เฝ้าระวังอาการเปลี่ยนแปลง : อาการบาดเจ็บทางสมองบางอย่าง เช่น เลือดคั่งในสมอง อาจไม่แสดงอาการในทันที แต่อาจปรากฏขึ้นในภายหลังได้ ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดเป็นเวลาอย่างน้อย 24-72 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุ
6. ควรมีผู้ดูแล : ในช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังเกิดเหตุ ควรมีผู้ดูแลคอยสังเกตอาการผิดปกติอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงระดับความรู้สึกตัว
สัญญาณอันตรายที่ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที
- หมดสติ ไม่ว่าจะเป็นช่วงสั้นๆ หรือหมดสติไปแล้วยังไม่ฟื้น
- ระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง มีอาการง่วงซึมผิดปกติ ปลุกตื่นยาก สับสน หรือไม่สามารถจดจำบุคคลหรือสถานที่ได้
- อาการชัก มีอาการเกร็ง กระตุก หรือควบคุมการเคลื่อนไหวของแขนขาไม่ได้
- มีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง หรืออาการปวดแย่ลงเรื่อยๆ แม้จะรับประทานยาแก้ปวดแล้วก็ตาม
- มีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนหลายครั้ง
- การมองเห็นผิดปกติ เช่น มองเห็นภาพซ้อน ภาพมัว หรือการมองเห็นแย่ลงอย่างกะทันหัน
- มีน้ำใสๆ หรือเลือดไหลออกจากจมูกหรือหู
- มีอาการชาหรืออ่อนแรงที่แขน ขา หรือใบหน้า
- มีปัญหาในการพูด เช่น พูดไม่ชัด พูดลำบาก หรือพูดจาสับสน
- มีปัญหาในการทรงตัว การเดิน หรือการเคลื่อนไหวร่างกาย
- มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เช่น หงุดหงิดง่าย กระสับกระส่าย หรือซึมลงผิดปกติ
- มีบาดแผลลึกที่ศีรษะ หรือมีรอยยุบที่กะโหลก
- มีรอยช้ำบริเวณหลังหู หรือรอบดวงตา โดยที่บริเวณนั้นไม่ได้รับการกระแทกโดยตรง
- หากการบาดเจ็บเกิดจากการตกจากที่สูงมากกว่า 1 เมตร หรือ 5 ขั้นบันได หรืออุบัติเหตุที่เกิดจากความเร็วสูง เช่น อุบัติเหตุทางรถยนต์ ควรไปพบแพทย์ทันที แม้จะยังไม่มีอาการผิดปกติชัดเจนก็ตาม
ท้ายบทความ
ส่วนใหญ่แล้วกลุ่มที่เสียงล้มหัวฟาดพื้นจะเป็นในกลุ่มเด็ก และผู้สูงอายุ แม้โดยทั่วไปหากเด็กล้มหัวฟาดพื้นรุนแรง แม้หัวไม่แตกก็ควรพบแพทย์ เพราะบางครั้งเด็กเล็กอาจจะไม่ได้บอกเราเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายตัวเอง หากเป็นการหกล้มไม่รุนแรง แม้เด็กมักฟื้นตัวได้เร็วกว่าผู้ใหญ่ แต่ต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด สังเกตการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม การเรียน หรือการนอนหลับ และถ้าให้แนะนำก็ควรปรึกษาแพทย์เสมอแม้ดูเหมือนเป็นการบาดเจ็บเล็กน้อย สำหรับผู้สูงอายุ การหกล้มเป็นเรื่องใหญ่เพราะทุกครั้งที่หกล้มจะมีความเสี่ยงสูงต่อการล้มและการบาดเจ็บรุนแรง การฟื้นตัวอาจใช้เวลานานกว่า ดังนั้นการป้องกันการล้มมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง แนะนำให้จัดสภาพแวดล้อมให้ปลอดภัย การดูแลสุขภาพให้แข็งแรง และการใช้อุปกรณ์ป้องกันที่เหมาะสมในกิจกรรมเสี่ยง สามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุและการบาดเจ็บได้